Movie Review and Storyline: The Conjuring The Devil Made Me Do It
Movie Review and Storyline: The Conjuring The Devil Made Me Do It
Blog Article
รีวิวหนังสยองขวัญ The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3
ข้อมูลหนัง
ชื่อเรือง:รีวิวหนังสยองขวัญ The Conjuring: The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3
ประเภท: เป็นหนังสยองขวัญ
ผู้กำกับ: James Wan
นำแสดงโดย: Lorraine Warren Vera Farmiga
ความยาว: 113นาที
เรื่องย่อ
เริ่มต้นด้วยความโกลาหลเมื่อเกิดสิ่งแปลกๆ ขึ้นกับเด็กชายตัวน้อย David เมื่อเขากำลังถูกบางอย่างครอบงำทั้งร่างกายและจิตใจ Ed and Lorraine Warren ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขาแต่ทว่าทุกสิ่งมันไม่ได้ผลจนกระทั่ง Arnie ได้เข้ามาและพูดบางอย่างก่อนทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติ เรื่องร้ายๆ ดูจะผ่านพ้นไปด้วยดีแต่สิ่งนั้นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของการฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่สร้างความตกตะลึงให้กับประวัติศาสตร์ของอเมริกา ดูหนังฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องสมัครสมาชิกให้ยุ่งยาก ได้แล้ววันนี้
หนังภาคที่ 3 นี้เป็นการย้ายมือจากผู้กำกับเดิมอย่าง เจมส์ วาน (James Wan) ที่ผันตัวไปเป็นโปรดิวเซอร์และมอบบังเหียนให้แก่ ไมเคิล ชาเวซ (Michael Chaves) ดาวรุ่งที่มีผลงานสยองขวัญก่อนหน้าอย่าง ‘The Curse of La Llorona’ (2019) ซึ่งวานก็เป็นโปรดิวเซอร์ให้ เรียกว่าเขาเป็นเด็กปั้นของวานเต็มตัวคนหนึ่งก็ว่าได้ และวานคงมองเห็นบางอย่างในตัวชาเวซถึงกล้ามอบภารกิจปิดไตรภาคแฟรนไชส์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของเขาเองให้ชาเวซสานต่อ
สิ่งที่อาจพูดได้ว่าชาเวซได้รับมาจากวานนั้นเป็นมากกว่าแค่โอกาสธรรมดา เพราะมรดกที่วานทำไว้ใน ‘The Conjuring’ ทั้งสองภาคก่อนหน้า ได้วางรากฐานพัฒนาการของคู่สามีภรรยาวอร์เรนมาอย่างดี เรารู้ความคิดจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาวอร์เรนมาดีมาก ผู้ชมพร้อมที่จะรักตัวละครนำทั้งคู่ตั้งแต่ก่อนดูหนังแล้ว ทำให้สามารถไปเน้นเรื่องราวความน่ากลัวที่ต้องเผชิญได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าเบาภาระของชาเวซไปไม่น้อย
แต่ดูเหมือนว่าชาเวซเองก็ติดกับดักของการแบกรับงานสำคัญอยู่ดี ทำให้เขาพยายามเติมนู่นนี่นั่นให้สมหน้าที่ผู้สานต่อมากเกินไป ถ้าให้นิยามคือเขาติดกับดักความเป็นหนังภาคที่ 3 ที่ต้องยิ่งใหญ่ที่สุดในไตรภาคไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ที่ทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปจากแฟรนไชส์เดิมค่อนข้างมาก น่าจะเป็นการเลือกศัตรูตัวใหม่ที่เป็นรูปลักษณ์ของผู้บูชาซาตาน และการอิงคดีฆาตกรรมที่โด่งดังมาก ๆ ในประวัติศาสตร์เรื่องเหนือธรรมชาติอเมริกาอย่าง ‘The Devil Made Me Do It’ มาเป็นตัวโฆษณาหลัก แต่พอเอาเข้าจริงก็ให้ความสำคัญและการใช้แง่มุมดราม่าในคดีนี้ไม่หนักแน่นพอ แถมช่วงกลางเรื่องจนท้ายเรื่องยังเสียทรงเทน้ำหนักไปเรื่องอื่น ๆ แทนเสียอีก ทำให้หนังแปรรูปจากหนังผีชวนขนหัวลุกแบบ ‘The Exorcist’ (1973) ไปเป็นหนังแบบหมอผีสู้ด้วยคุณไสยกันแทน ซึ่งคงผิดใจแฟนเดิมอยู่ไม่น้อย
และจะว่าไปในมุมของคนดูหนังที่โตมาแบบวัฒนธรรมไทย เรื่องพวกนี้มันดูธรรมดาเจนตาไปหน่อย แต่คงน่าตื่นเต้นสำหรับฝั่งตะวันตกหรือเปล่าอันนี้ก็ตอบยาก ผู้สร้างถึงได้เลือกเส้นเรื่องแบบนี้มาเล่า แต่สิ่งที่เสียหายไปแน่นอนคือ ความชั่วร้ายที่นำเสนอเป็นคนที่มีชีวิตชัดเจน หรือโผล่มาเป็นสัตว์ประหลาดไปเลยแบบในเรื่องนี้ มันขาดความน่ากลัวอย่างที่เคยเจอผีแม่ชีหรือผีแอนนาเบลลงไปเยอะทีเดียว
ความเปลี่ยนแปลงในการเล่าเรื่องนี้วิสัยทัศน์ของชาเวซอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและน่าจะส่งผลเช่นกันก็คือ การหายไปของมือเขียนบทอย่าง แชด และ แครีย์ ดับบริว. ฮาเยซ (Chad และ Carey W. Hayes) ในภาคก่อน ๆ เหลือเพียง เดวิด เลสลีย์ จอห์นสัน (David Leslie Johnson) เพียงคนเดียว แม้จอห์นสันจะเคยร่วมเขียนบทในภาค 2 และมีผลงานหนังใหญ่อย่าง ‘Aquaman’ (2018) แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าแง่มุมเด่นของการต่อสู้เพื่อครอบครัวในภาคนี้ดูถูกกระจายความสำคัญไปที่ปีศาจตัวหลักมากไปหน่อย
ในภาคนี้ดีไซน์ความสยองผ่านความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เปราะบางแบบฉลาด ๆ และสร้างสรรค์อย่างในภาคก่อน ยังถูกเติมเต็มด้วยความตื่นเต้นและรูปแบบการพึ่งพาซีจีที่มากเกินไป ทั้งฉากที่ต่อสู้มาถึงหน้าผา หรือในห้องเก็บศพ แม้ดูจะมีฉากใหญ่ ๆ ให้เล่นบ้าง แต่ยังไม่ต่อเนื่องมีการเว้นพักอารมณ์นานเกินไป และภาพรวมก็ต้องยอมรับว่าหนังไม่ได้ดูโดดเด่นแตกต่างกับหนังเรื่องอื่น ๆ นัก จะมีที่ดูตื่นตาเป็นเอกลักษณ์ได้หน่อยก็มีไม่กี่ฉาก เช่น ฉากที่ป่าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน หรือฉากที่ลอร์เรนวิ่งหนีพร้อมดอปเพลแกงเกอร์ของตนเองที่ใช้เทคนิคเอานักแสดงแทนมาประกอบฉากได้อย่างสร้างสรรค์
เมื่อมิติตัวละครนั่นหาที่สอดแทรกใหม่ ๆ ยากแล้ว ในภาคนี้ตัวเอ็ดจึงต้องประสบปัญหาโรคหัวใจเข้ามาเป็นอุปสรรคแทน เพราะเมื่อเอ็ดไม่สามารถดูแลลอร์เรนได้เต็มที่ ปีศาจร้ายก็เล่นงานภรรยาผู้มีสัมผัสพิเศษของเขาได้ง่ายขึ้น ในแง่หนึ่งก็เป็นการสร้างสถานการณ์บีบคั้นที่ดีเหมือนกัน
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์
เปิดเรื่องมาอย่างน่าตื่นเต้น เป็นความรู้สึกที่แบบรอคอยการกลับมาของหนังแนวนี่เลยหลังจาก 5 ปี กว่าจะมีภาคต่อ จากใจนักเขียนที่เป็นแฟนหนังจักรวาลนี้ และด้วยความที่พอรู้มาคร่าวๆ ว่าอาจจะแตกต่างจากเนื้อหาที่เคยมีมาในภาคก่อนๆ คือทวีคูณความอยากดูมากๆ แอบตกใจตอนมาดูว่าผิดเรื่องหรือเปล่าด้วย เพราะมีการเปลี่ยนรูปแบบตอนเปิด title ไปบ้าง แบบค่อนข้างจะว้าวพอสมควร (แต่ก็เอ๊ะ นิดหน่อยจะเป็นอย่างไรอยากให้ไปชม) และเอาเข้าจริงนะ คิดถึงบรรยากาศการดูหนังแบบนี้มาก คือมันเป็นบรรยากาศที่ สามารถบอกได้เลยจากนักเขียนที่ชอบดูหนังสยองขวัญว่า หาแนวแบบนี้ยากถ้าไม่ใช่จักรวาล Conjuring
และสำหรับภาค The Devil Made Me Do It มัจจุราชบงการ นี้ ถ้าแปลกันตามตรงหมายความว่า เรื่องราวความสยองขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคดีนี้มีผู้ที่อยู่เบื้องหลัง และเนื่องจากเป็นเค้าโครงจากเรื่องจริง ตัวหนังเลยได้หยิบยกคดีสะเทือนขวัญครั้งแรกของหน้าประวัติศาสตร์อเมริกาที่ผู้ก่อเหตุลงทำร้ายเจ้าของอพาร์ตเมนต์จนถึงแก่กรรม และอ้างว่านั้นเป็นสิ่งที่ตนไม่ได้ทำแต่ " ปีศาจต่างหากที่บังคับเขา " ต่อจากนั้น เมื่อ Ed and Lorraine Warren ได้พบกับเหตุการณ์นี้ ทำให้พวกเขาทั้งสองต้องสืบหาความจริง ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถปราบปีศาจร้ายตนนี้ลงได้ จากพิธีไล่ผีก่อนหน้า จนกระทั่งตัวหนังจะเพิ่มตัวแปรที่สำคัญและไม่มีในภาคไหนมาก่อน คือผู้เล่นศาสตร์มืดนั่นเอง..... และนี่กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่พวกเขาจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และเอาตัวรอดจากบุคคลลึกลับที่ทำพันธะกับปีศาจให้ได้ ติดตามเรื่องราวทั้งหมดของหนังได้ที่ 2u-hd.com ภาพคมชัด ไม่มีโฆษณาคั่น รับชมหนังฟรี ตลอด 24 ชม.
#ดูหนังฟรี #TheConjuring3 #TheDevilMadeMeDoIt #คนเรียกผี3 #รีวิวหนัง #MovieReview
กลับด้านบน Report this page